September 2019

1. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำ
เราควรที่จะต้องดูแลทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอยู่เป็นประจำ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือจะเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากเทลงไปบริเวณที่เป็นจุกสกปรก ใช้ผ้าเช็ดบริเวณนั้นให้สะอาด หลังจากนั้นก็เปิดเครื่องซักผ้าให้ทำงานได้ตามปกติเลย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้เชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่หมดไปได้แล้ว
2. ใช้ถุงแยกในการซักผ้า
นอกจากที่เราจะต้องแยกผ้าตามประเภทแล้ว เราก็ควรแยกชุดชั้นในและถุงเท้าออกมาใส่ลงไปในถุงซักผ้า แทนการที่จะให้ชุดชั้นในและถุงเท้าซักปนกับเสื้อผ้าชนิดอื่น ๆ เพื่อความสะอาดและป้องกันไม่ให้ชุดชั้นในเกิดความเสียหายในระหว่างการซัก
3. ยาแอสไพรินช่วยทำให้เสื้อขาวได้
หากเราต้องการให้ผ้าขาวสะอาดอยู่เสมอ การใส่ยาแอสไพรินลงไปขณะที่เครื่องกำลังทำการซักผ้าอยู่นั้น จะช่วยทำให้ผ้าขาวขึ้นเนื่องจากในยาแอสไพรินมีกรดซาลิไซลิกผสมอยู่นั่นเอง
4. อย่าตากผ้านานเกินไป
การตากเสื้อผ้าจนแห้งเกินไป หรือทิ้งไว้เป็นเวลานาน ๆ หลังจากที่ผ้าแห้งแล้ว จะทำให้ใยผ้าแข็งและรีดยากขึ้น
5. ซักผ้าที่หดด้วยแชมพูของเด็ก
แชมพูเด็กหรือครีมนวดผมสามารถช่วยเปลี่ยนผ้าที่หดให้ขยายขนาดกลับมากเป็นปกติได้ เพียแค่เราแช่ผ้าเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที เส้นใยผ้าก็จะยืดกลับมาเท่ากับขนาดเดิม
6. เลือกใช้น้ำยาฟอกขาวให้ถูกกับชนิดของผ้า
หากเป็นผ้าขาวเราควรที่จะต้องใช้น้ำยาฟอกขาวชนิดคลอรีน บลีช หากเป็นผ้าสีก็ควรที่จะต้องใช้น้ำยาฟอกผ้าชนิดออกซิเจน บลีช
7. ควรแยกผ้าตามเส้นใยของผ้า
การซักผ้านอกจากที่เราจะต้องแยกผ้าขาวออกจากผ้าที่เป็นสีแล้ว เราก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงเส้นใยของผ้าด้วย เช่น หากผ้ามีเส้นใยหนาและมีการดูดซับน้ำได้เยอะกว่าผ้าที่มีเส้นใยบาง ซึ่งจะใช้เวลาในการล้างผงซักฟอกนานกว่าปกติ นอกจากนี้เรายังจะต้องคำนึงถึงอุณหภูมิของน้ำที่ใช้ในการซักอีกด้วย เพราะมันมีผลต่อสีของเสื้อผ้า
8. ปั้นแผ่นฟอยล์เป็นก้อนกลม ๆ ใส่เครื่องซักผ้า
แผ่นฟอยล์จะช่วยทำให้เสื้อผ้าไม่สะสมไฟฟ้าสถิติ ที่มักจะเป็นตัวการในการดึงดูดเอาฝุ่นไว้ที่เสื้อผ้า และเส้นผมที่มาติดเสื้อผ้าอยู่บ่อย ๆ
9. ครีมโกนหนวดช่วยลบรอยเครื่องสำอางได้
เพียงแค่เราป้ายครีมโกนหนวดลงบนรอยเครื่องสำอางหรือรอยลิปสติกบนเสื้อ หลังจากนั้นก็นำมาซักได้ตามปกติเลย รอยของเครื่องสำอางก็จะจางลงไป
10. ใช้น้ำเย็นซักถุงเท้า
สำหรับรอยสกปรกต่าง ๆ ส่วนมากแล้วจะเกิดจากโปรตีนในร่างกาย หากใช้น้ำร้อนในการซักรอยหรือคราบเหล่านั้นก็จะฝังอยู่เหมือนเดิม แถมยังฝังแน่นขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย (ลบยังไงก็ลบไม่ออก) ดังนั้นให้เราลองหันมา้น้ำเย็นในการซักแทน จะทำให้คราบหรือสิ่งสงปรกต่าง ๆ ออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
11. ผ้าขนหนูช่วยทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้น
หากเราใส่ผ้าขนหนูแห่งลงไปในเครื่องซักผ้า ในช่วงของการปั่นแห้ง ผ้าขนหนูก็จะข่วยซับน้ำจากเสื้อที่กำลังเปื่อยอยู่ได้ ช่วยทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น

วิธีการดูแลรักษาเสื้อยืด ไม่ให้เกิดการย้วย เยิน ก่อนเวลาอันควร

1. กลับด้านเสื้อยืดก่อนซัก
กลับเอาด้านในของเสื้อออกมา เพื่อถนอมลายบนเสื้อยืดไว้ ไม่ให้ถูกกระทำทารุณกรรมโดยตรงจากการซัก

2. ใส่ถุง ยืดอายุ
นำเสื้อยืดใส่ถุงสำหรับซักผ้า ก่อนนำไปเข้าเครื่องซักผ้าที่มีแรงปั่นมหาโหดก็ช่วยลดแรงดึง ไม่ให้เสื้อยืดกลายเป็นเสื้อย้วยได้

3. ใช้น้ำยาซักผ้ากับเสื้อยืดสีเข้ม
สำหรับเสื้อยืดสีเข้ม อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับผงซักฟอกสักเท่าไหร่ เพราะผงซักฟอกที่ขจัดคราบได้ดีก็มักจะไม่ปราณีกับสีของเสื้อยืด
เราด้วย นอกจากนี้ผงซักฟอกอาจจะละลายไม่หมดจับตัวเป็นก้อนและทิ้งคราบไว้บนเสื้อยืดได้ ควรใช้น้ำยาซักผ้า หรือผงซักฟอกสำหรับ
ผ้าสี จะเหมาะกว่า

4. น้ำยาปรับผ้านุ่ม
ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มในขั้นตอนการซักผ้า จะช่วยให้เสื้อยืดนุ่ม น่าสวมใส่ ผ้าไม่กระด้าง กรอบเวลาตาก และไม่ยับมากอีกด้วย ไม่ต้องรีด
ช่วยลดโลกร้อน

5. ไม่เทผลิตภัณฑ์ซักผ้าใดๆ ลงบนเสื้อยืดโดยตรง
ผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดใดก็ตาม ย่อมมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารเหล่านั้นอาจทำให้เสื้อยืดเป็นรอยด่างได้

6. อย่าทิ้งเสื้อยืดให้แห้งเอง
เมื่อซักผ้าเสร็จแล้วควรนำไปตาก ไม่ควรทิ้งเสื้อยืดไว้ในเครื่องซักผ้าเป็นเวลานานเพราะจะทำให้เสื้อยืดยับมาก รวมถึงเสื้อผ้า
ทุกชนิดด้วย หากซักผ้าทิ้งไว้อย่าลืมตั้งเวลาเตือนด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องออกแรงรีดกันยกใหญ่

7. ไม่ตากเสื้อยืด ในที่แดดจัดเกินไป
เสื้อยืดก็เหมือนเสื้อผ้าชนิดอื่นๆ ถ้าตากในที่แดดจัดเกินไป สีของเสื้อยืดอาจจะซีด ไปเร็วกว่าที่คุณคิดก็ได้

8. รีดเสื้อยืด จากด้านใน
เสื้อยืดที่สกรีนลาย ควรรีดจากด้านในเสื้อ หรือใช้ผ้าบางๆ วางบนลายสกรีนก่อนรีด

1. น้ำยาฟอกผ้าขาวที่ต้องมีติดบ้าน
ผ้าสีตก ผ้าสีไม่สม่ำเสมอ ผ้าเลอะมากๆ น้ำยาซักผ้าขาว จะกลายเป็นไอเท็มชิ้นโปรดที่แม่บ้านนึกถึงเสมอ เมื่อผ้าสีขาวของคุณโดนสีอื่นตกใส่ วิธีแก้ง่ายๆ ที่เบสิคที่สุดคือการใช้น้ำยาฟอกผ้าขาวผสมกับผงซักฟอก แล้วป้ายลงบนเสื้อบริเวณที่มีสีตกใส่ จากนั้นขยี้เบาๆ แล้วแช่ทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วนำผ้ามาซักตามปกติ ผ้าบางชนิดอาจจะต้องทำซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

2. ผ้าสีสดใสด้วยน้ำส้มสายชู
อีกหนึ่งวิธีเบสิคที่ทำกันมาเนิ่นนานเมื่อสีตกใส่เสื้อผ้า ซึ่งทำได้ทั้งผ้าขาวและผ้าสี คือการต้มน้ำให้เดือด จากนั้นเทน้ำส้มสายชูใส่ให้พอได้กลิ่นฉุนๆ แล้วนำเสื้อที่สีตกแช่ในน้ำเดือดทิ้งไว้ 20 – 30 นาที ระหว่างนั้นลองสังเกตดูได้เรื่อยๆ ว่าผ้าที่ต้มอยู่สีที่ตกค่อยๆ จางหายไปหรือไม่ เมื่อครบกำหนดให้นำผ้าไปซักตามปกติค่ะ

3. น้ำยาล้างจานสารพัดประโยชน์
เป็นของใช้ประจำบ้านที่หาซื้อได้ง่ายและใช้ประโยชน์ในการขจัดคราบได้จริงๆ สำหรับน้ำยาล้างจาน ซึ่งผ้าที่สีตกไม่ชัดมากวิธีนี้จะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นค่ะ เพียงแค่นำน้ำยาล้างจานสูตรดั้งเดิมผสมกับผงซักฟอก แล้วป้ายลงบนผ้าที่สีตก ขยี้เบาๆ แล้วแช่ทิ้งไว้ 1 คืน หรือจะผสมกับน้ำยาฟอกผ้าขาวเพิ่มเข้าไปก็ได้เช่นกันค่ะ

4. เกลือ ตำนานผ้าสีสวย
หากถามว่าคนสมัยก่อนผ้าสีตกเขาทำยังไงกัน ดูนี่เลย! ใช้ เกลือ ค่ะ วัตถุดิบพื้นบ้านสารพัดประโยชน์ของไทยเรานี่เอง เพียงแค่ใส่น้ำเปล่าในกะละมังที่จะแช่ ตามด้วยเกลือ 1 – 2 กำมือ คนให้ละลาย แล้วแช่ผ้าทิ้งไว้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือ 1 คืน เช้ามาล้างน้ำให้สะอาด เนื่องจากในเกลือมีไอออนแมกนีเซียมและแคลเซียมช่วยลดการละลายของสีในน้ำได้นั่นเองค่ะ แต่ควรจะทำครั้งละ 1 – 2 ตัว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีค่ะ

5. สารส้ม ปกป้องผ้าให้มีสีสวยดังเดิม
อีกหนึ่งไอเท็มสารพัดประโยชน์ประจำบ้าน เพียงนำสารส้มแกว่งในน้ำที่เราจะใช้แช่ผ้า จากนั้นใช้เวลา 30 – 60 นาทีในการแช่ผ้า แล้วนำไปล้างน้ำออก ซักผ้าได้ตามปกติ เพียงเท่านี้ก็ได้เสื้อผ้าสีเดิมกลับมาแล้วค่ะ

-โดยทั่วๆ ไป หากเสื้อผ้าเปื้อน ก็ให้ใช้สเปรย์ฉีดผม ฉีดบริเวณที่เปื้อนเพื่อตรึงสิ่งที่เปื้อนไม่ให้เข้าไปในเนื้อผ้าจากนั้นก็ซักล้างออกตามปกติ

-เปื้อนยา กำลังกินยาแล้วทำยาหกรดเสื้อ ให้ใช้น้ำเย็นๆ ล้างออก จากนั้นซักผ้าตามปกติ

-เปื้อนเบียร์ กำลังซดเบียร์หรือกำลังรินเบียร์ให้สุดที่รัก แต่เบียร์เจ้ากรรมดันหกรดเสื้อผ้า ให้คุณรีบใช้ผ้าชื้นๆ ถูออกโดยเร็ว หรือใช้น้ำล้างออก จากนั้นซักผ้าตามปกติ

-เปื้อนเลือด เนื่องจากเลือดมีโปรตีน จึงไม่ควรใช้น้ำร้อนเช็ดล้าง ควรใช้น้ำเย็นและสบู่ล้างออก หากเป็นผ้าไหม ให้ใช้แอลกอฮอล์ค่อยๆ เช็ดอย่างระวัง

– เปื้อนน้ำดำ ให้ใช้ผ้านุ่มกับน้ำสบู่เช็ดถูออก หรือใช้ผ้าชื้นเช็ด จากนั้นซักผ้าตามปกติ

-เปื้อนน้ำยาดับกลิ่นตัว สาวๆ หนุ่มๆ มักมีปัญหากับการที่น้ำยาดับกลิ่นตัวเปื้อนติดเสื้อผ้า โดยเฉพาะรักแร้ วิธีแก้ไขก็คือ ให้ใช้น้ำส้มสายชูเจือจางล้างบริเวณที่เปื้อนออกโดยใช้มือ จากนั้นซักผ้าได้ตามปกติ

อาการหดของผ้าเป็นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับประเภทของเส้นใย
ให้ตรวจสอบป้ายสัญลักษณ์ การซักผ้าให้ดีว่าผ้าที่เราซื้อมานั้นเป็นเส้นใยประเภทใด และ เหมาะกับการซักด้วยเครื่องซักผ้าหรือซักด้วยมือหรือซักแห้ง เพราะผ้าบางชนิดควรต้องซักด้วยมือหรือซักแห้งเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาผ้าหดหรือสีตก
ผ้าใยสังเคราะห์ส่วนมากจะหดจากการเจออุณหภูมิสูงจึงไม่ควรซักด้วยน้ำร้อน หากต้องการสลายคราบบนเสื้อผ้า โดยทำการแช่น้ำ ไม่ควรแช่ผ้าในน้ำร้อน ในเวลานานเกินไปและหลีกเลี่ยงการอบผ้าที่ใช้อุณหภูมิสูง เพราะความร้อนสามารถทำให้ผ้าหดตัวได้
ผ้าใยธรรมชาติส่วนมากจะหดเมื่อเจอน้ำครั้งแรก หากไม่แน่ใจว่าเสื้อผ้าจะหดตัวหรือไม่ ก่อนที่จะซักผ้าสามารถลองใช้กระบอกฉีด น้ำลงบนเนื้อผ้าบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หากเนื้อผ้าหดตัวมากอย่างเห็นได้ชัด เคล็ดลับการซักผ้ายืดไม่ให้ย้วย
เสื้อยืดสลิมฟิตเท่ห์ๆ ที่ซื้อมา เป็นใครก็อยากเก็บให้ฟิตไปนานๆ ก่อนซักให้กลับด้านในออกข้างนอกนะค่ะ

หากซักด้วยเครื่องซักผ้าให้นำเสื้อยืดใส่ในถุงตาข่ายสำหรับใส่ผ้าซัก และกดปุ่มเลือกโปรแกรมการซักสำหรับผ้าเนื้อบาง หรือปุ่ม Delicate wash เพื่อถนอมเนื้อผ้าในขณะซักนั่นเองค่ะ
การซักด้วยมือก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะถนอมเสื้อยืดของเราไม่ให้ย้วยได้ค่ะ คอเสื้อและแขนเสื้อเป็นส่วนที่มีการยืดย้วยได้ง่ายที่สุด ทำการซักผ้าตามปกติแต่ขยี้ส่วนคอและแขนเสื้อแต่พอดี ใช้มือขยี้และไม่ขยี้แรงจนเกินไป เมื่อซักเสร็จให้บิดเสื้อแต่พอหมาด การหมุนเป็นเกลียวหลายๆ รอบ เพื่อนๆ อาจคิดว่าจะทำให้เสื้อยืดแห้งเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้เสื้อยืดกลายเป็นเสื้อย้วยเร็วขึ้นเช่นเดียวกันนะคะ
อีกส่วนสำคัญคือการตากเสื้อยืด การตากเสื้อยืดที่ไม่ถูกต้องย่อมมีผลต่อเสื้อยืดอย่างแน่นอน คนส่วนมากจะแขวนเสื้อยืดกับไม้แขวนผ้าและจะพบว่าบ่าเสื้อยืดของเราได้ย้วยไปแล้ว วิธีง่ายๆ ในการแขวนเสื้อยืดทั้งตอนตากและหลังจากรีดแล้วคือพับครึ่งและพาดไว้กับไม้แขวนผ้า จะช่วยป้องกันการยืดย้วยของเสื้อยืดได้

วิธีกำจัดราในตู้เสื้อผ้า
ขั้นตอนแรก กำจัดปัญหาที่ต้นตอของสาเหตุ คือ พยายามเปิดประตูและหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก รวมถึงให้แสงแดดสามารถส่องเข้ามาในห้องได้ เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้นขึ้นในห้อง

ขั้นตอนที่สอง ขณะทำความสะอาดภายในห้องด้วยการเช็ดเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หรือการถูพื้น ต้องบิดผ้าที่ใช้ถูให้หมาดที่สุดก่อน จากนั้นใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดซ้ำอีกทีหนึ่ง มิเช่นนั้นความชื้นจากการถูกพื้นก็จะกลายเป็นต้นตอสาเหตุของการเกิดราขึ้นได้อีก

ขั้นตอนที่สาม ใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำให้มีความเข้มข้นพอประมาณ จากนั้นใช้แรงชุบน้ำยาที่ผสมไว้ขัดเบาๆบริเวณที่พบเชื้อราออกให้หมดทั้งในและนอกตู้เสื้อผ้า แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกอีกรอบ

ขั้นตอนสุดท้าย ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำสะอาดใส่ลงไปในฟ๊อกกี้จากนั้นฉีดพรมลงไปในบริเวณที่พบเชื้อรา ซึ่งน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดซ้ำอีกรอบหนึ่งเช่นเคย เพื่อป้องกันไม่ให้เฟอร์นิเจอร์บวมน้ำ

วิธีขจัดรอยลิปสติกบนเสื้อผ้าอย่างง่ายๆและได้ผล
ขั้นตอนแรก ใช้กระดาษทิชชูซับคราบลิปสติกที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าให้ติดออกมาได้มากที่สุดก่อน
ขั้นตอนที่ 2 ใช้น้ำร้อนพรม หรือค่อยๆราดลงบนรอยลิปสติกให้ชุ่ม เพราะความร้อนจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกประเภทไขได้ดี จะช่วยให้การทำความสะอาดในขั้นตอนต่อมาเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 ใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดเข้มข้น หรือน้ำยาขจัดคราบทาทับลงบนรอยลิปสติก ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที
ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ฟองน้ำค่อยๆขัดเบาๆ แล้วเช็ดออกด้วยทิชชู จากนั้นนำวาสลีนมาทาทับหนาๆ ใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆให้ทั่ว แล้วนำไปซักด้วยผงซักฟอกตามปรกติ เพียงเท่านี้ก็สามารถขจัดรอยลิปสติกบนเสื้อผ้าออกได้อย่างหมดจดซะแล้ว

ขั้นตอนแรก หากเป็นยีนส์ใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการซักทำความสะอาดมาก่อน ควรใช้งานยีนส์นั้นอย่างน้อย 3-6 เดือนก่อนทำการซักครั้งแรก เพื่อความไม่ให้ยีนส์เกิดเป็นสีกระดำกระด่างไม่สวยงาม ระหว่างนั้นสามารถนำยีนส์มาผึ่งลมและผึ่งแดดเพื่อป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก่อนได้

ขั้นตอนที่ 2 เมื่อตัดสินใจเริ่มทำความสะอาดยีนส์ ให้แช่ยีนส์ลงในน้ำเย็น ที่ผสมผงซักฟอกแล้ว พร้อมกับขยี้เบาๆ แล้วล้างผงซักฟอกด้วยน้ำสะอาดตามการซักแบบปรกติ แต่หากซักด้วยเครื่องซักผ้า อาจใส่ยีนส์ ลงในถุงตาข่ายซักผ้า และเลือกโปรแกรมการซักเป็นแบบถนอมผ้า ก็จะช่วยรักษารอยย่น หรือริ้วของยีนส์ให้คงอยู่ไว้ได้

ขั้นตอนสุดท้าย พยายามหลีดเลี่ยงการตากยีนส์ในที่ที่มีแสงแดดจัด และไม่ควรซักยีนส์บ่อยเกินความจำเป็น พยายามใช้งานยีนส์ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นเป็นได้ ซึ่งหากพบว่ายีนส์ของเราเริ่มมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ คุณสามารถนำแผ่น Fabrics Softner Sheets ไปใส่ไว้ในกระเป๋าขณะที่ยีนส์ไม่ถูกใช้งาน จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดี

ชนิดของผ้ายืด และลักษณะการใช้ผ้า

1. ผ้ายืดชนิดแรก เรียกว่า ผ้ายืดหน้าเดียว (single jersey)ท้องตลาดทั่วไปเรียก ผ้าหน้าเดียวหรือผ้าเจอซี่ เหตุที่เรียกชื่อผ้าชนิดนี้ว่าผ้าหน้าเดียว เพระทอมาจากเครื่องหน้าเดียวเครื่องทอผ้าหน้าเดียว “single jersey knitting machine”มีกระบอกเข็มแนวตั้งแนวเดียวทอผ้าออกมาเป็น
ผ้าลายตรงๆ ด้านเดียว ด้านหลังเรียบ

2. ผ้ายืดชนิดต่อมาเรียกว่า ผ้าสองหน้า “Interlock Fabric” ผ้ายืดชนิดนี้ทอจากเครื่อง interlock มีกระบอกเข็มด้านแนวตรง และแนวนอน ถักทอผ้าออกมาไห้มีลายสองด้าน เนื้อผ้าจะดูหนาขึ้น และนุ่มขึ้น

3. ผ้าปีเก้ หรือผ้าลายลาคลอส คือผ้าทีผลิตจากเครื่อง หน้าเดียว แต่ต้องปรับแต่งเครื่องไห้เป็นลายผ้ายืดชนิดนี้นิยมมากในการทำเสื้อโปโล ส่วนลายของผ้ายืดชนิด นี้มีทั้งลาย ปีเก้ ลาคลอส คาเนโกะ

4. ผ้าบอดี้ไซ้ร์ คือผ้ายืดที่ผลิตจากเครื่องหน้าเดียว แต่ขนาดเล็กกว่า ส่วนใหญ่นิยมทำเสื้อที่ไม่มีตะเข็บข้าง

1. ชุดกีฬา (Sportswear)

สำหรับชุดกีฬาควรเลือกผ้าโพลีเอสเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นทางเลือกที่ดีในการระบายอากาศ ไม่อับชื้น แห้งไว และคล่องตัวเวลาเคลื่อนไหว ที่สำคัญการเลือกผ้าดีไซน์ผ้าเก๋ไก๋ดูเรียบง่าย อย่างชุดสปอร์ตแฟชั่นสำหรับชุดกีฬา จะช่วยเพิ่มพลังในการออกกำลังกายของคุณให้ฟิตแอนด์เฟิร์มยิ่งขึ้นไปอีก

2. เสื้อกันหนาว

ต้องเลือกเสื้อที่มีการปกป้องที่ดี และสามารถรักษาอุณหภูมิให้ร่างกายอบอุ่น อย่างการเลือกผ้าสเวตเตอร์ที่เย็บประกบทับกับผ้าฟลีซเนื้อดีก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการรักษาความอบอุ่นในฤดูหนาวได้ดี และยังดูแลรักษาความสะอาดง่ายเช่นกัน

3. เสื้อผ้า กระเป๋าผ้า แฟชั่น

การเลือกผ้าแฟชั่นเน้นโทนสีใหม่ๆ หรือแฟชั่นผ้าสีสันหลากหลายตามเทรนด์ ซึ่งลายที่เลือกนั้นนอกจากจะชอบแล้ว ต้องดูความเหมาะสมในการใช้สวมใส่อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผ้าลูกไม้ ควรเลือกผ้าโปร่งและระบายอากาศได้ดี เหมาะกับการใส่ไปงานต่างๆที่เน้นความโปร่ง สวย เบาสบาย หรือ ไปดินเนอร์ชิลล์ ชิลล์ เป็นต้น

4. ผ้าสำหรับเด็ก ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว

ใส่ใจรายละเอียดการเลือกผ้าที่มีผิวสัมผัสนุ่ม เนียน ละเอียดไปกับผิวเด็ก และผ้าที่ดีต้องไม่เป็นอันตรายแก่เด็ก หรือเกิดการข่วนใดใด อาจเลือกผ้าสเวตเตอร์สีสันน่ารักเพื่อให้เด็กๆสวมใส่นุ่มสบาย และไม่เป็นกังวลในการใช้ชิวิตประจำวันได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะระคายเคืองผิวหรือไม่?

5. ผ้าห่ม ผ้าคลุม ชุดเครื่องนอน

ผ้าห่ม หรือผ้าปูที่นอนที่ใช้ภายในบ้านหรือพกไว้ติดรถเวลาออกต่างจังหวัดเป็นสิ่งที่ควรพิถีพิถันอย่างยิ่งในการเลือกเนื้อผ้าที่ดี ให้ความอบอุ่นได้ในเวลาหนาวเย็นและที่สำคัญสามารถระบายอากาศได้ดี ไม่อบ หรือ อับชื้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อราและฝุ่น ฉะนั้นเราควรต้องเลือกให้ดีไม่หนาจนเกินไปและเหมาะกับการพักผ่อนของคุณ

6. ชุดชั้นใน ซับใน

สำหรับคุณผู้หญิง คุณผู้ชายที่ชื่นชอบการเลือกซื้อชุดชั้นใน สิ่งสำคัญในการเลือกก็คือหาชุดที่สวมใส่สบายตลอดทั้งวัน เนื้อผ้าบางเบา และไม่อึดอัด ซึ่งหลักง่ายๆในการเลือกซื้อคือ ทนทาน กระชับ ยืดหยุ่น ซึ่งนอกจากผ้าคอตตอน ลินินแล้ว ผ้าโพลีเอสเตอร์ก็รวมคุณสมบัติของผ้าทั้ง 2 ชนิดนี้ไว้ด้วยกัน ฉะนั้นผู้ที่สวมใส่จึงมั่นใจได้ว่าจะได้ชุดชั้นในที่ดีและสวมใส่สบาย

7. ผ้าปูโต๊ะ ผ้าปูโซฟา ผ้าคลุมเบาะ

เลือกผ้าที่ทนทาน การถักทอละเอียดสูง เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณสมบัติของผ้าปูและผ้าคลุมเบาะ หรือโซฟาก็ต้องเนื้อนุ่ม น้ำหนักเบา มีลวดลายสวยงามตามความชื่นชอบของผู้ใช้ อย่างผ้าไมโครโพลีเอสเตอร์ที่มีความยืดหยุ่น ทนทาน และมีหลากหลายแแบบก็ถือเป็นทางดีน่าใช้สำหรับงานด้านนี้